ประเพณีไหลเรือไฟ
ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยนั้นมีวัฒนธรรมประเพณีส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน ถึงจะแตกต่างกันออกไปบ้างในบางท้องถิ่นก็เป็นส่วนน้อย ประเพณีที่ยึดถือเป็นส่วนใหญ่นั้นก็คือ ฮีตสิบสอง หรือประเพณีสิบสองเดือน นั่นเอง ฮีต เป็นคำพื้นเมืองอีสานหมายถึง ประเพณีอันเนื่องด้วยศีลธรรม ส่วนรวมถือว่ามีค่าแก่สังคม ใครประพฤติฝ่าฝืนหรืองดเว้นไม่กระทำตามที่กำหนดถือว่าเป็นผิดเป็นชั่ว ฮีตสิงสองของขาวอีสานเป็นเรื่องความเชื่อในพระพุทธศาสนาและประเพณีนิยมพื้นบ้าน จุดประสงค์เพื่อให้สมาชิกในสังคมได้มีโอกาสร่วมทำบุญเป็นประจำทุกๆเดือนในรอบปี รวมทั้งเป็นจารีตบังคับให้ทุกคนเสียสละทำงานร่วมกัน ประเพณีแรกของฮีตสิงสองจะเริ่มเดือนเจียงหรือเดือนอ้าย ถึงเดือนสิบสองซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย เป็นช่วงของการทำบุญกฐิน
ประเพณีไหลเรือไฟถือเป็นฮีตย่อยปฏิบัติกันในหมู่บ้านหรือบางจังหวัด อยู่ในเดือนสิบเอ็ดซึ่งเป็นช่วงของงานบุญออกพรรษา ไหลเรือไฟถือเป็นกิจกรรมประเพณีของช่วงเดือนนี้ ซึ่งมีกิจกรรมประเพณีอื่นประกอบ คือ งานแข่งเรือ งานแห่ปราสาทผึ่ง และจุดไต้ประทีป
ประเพณีไหลเรือไฟเป็นประเพณีที่ชาวอีสานบางส่วนที่อาศัยอยู่ไกล้แม่น้ำยึดถือปฏิบัติกันมานานแล้ว เดิมชาวบ้านเรียกประเพณีนี้หลายชื่อ คือ ลอยเฮือไฟ ลอยเรือไฟ แต่ปัจจุบันยอมรับและนิยมเรียกว่า ไหลเฮือไฟ หรือไหลเรือไฟ
คติและความเชื่อ
ไหลเรือไฟ เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องในพุทธศาสนาตามคติ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่เมื่อใด เข้าใจว่าพิธีกรรมที่ยึดถือกันมาเป็นประเพณีนี้จะจัดขึ้นเฉพาะท้องถิ่นในบางจังหวัดที่มีชัยภูมิที่เหมาะสมคือ มีแม่น้ำหรือลำน้ำ เท่าที่ปรากฏจะมีแนวทางปฏิบัที่คล้ายๆกัน อาจมีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามความเชื่อของท้องถิ่น
ประเพณีไหลเรือไฟเท่าที่จัดกันขึ้น มีจังหวัดนครพนม สกลนคร เลย หนองคาย ศรีษะเกษ มหาสารคาม อุบลราชธานี และในแขวงต่างๆของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ตั้งอยู่ริมแมน้ำโขงและลำน้ำสาขา เช่น ที่หลวงพระบาง เมืองดอนโขง แขวงจำปาศักดิ์ ฯลฯ
1.ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชารอยพระพุทธบาท มีเรื่องปราปฏในอรรถกถาปุณโณวาทสูตรว่า ในครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมในภพนาคก่อนเสด็จกลับภพโลก พญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที รอยพระบาทที่พระองค์ประทับไว้นี้ ต่อมาได้เป็นที่กราบไหว้สักการะบูชาของเหล่าเทวดา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย การไหลเรือไฟจึงเชื่อว่าทำเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
2.ความเชื่อเกี่ยวกับวันพระเจ้าเปิดโลก การไหลเรือไฟถือเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากเทวโลกลงมาสู่เมืองมนุษย์ หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปประจำพรรษาเป็นปีที่ 7 บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดแก่พระพุทธมารดาเป็นการตอบแทนพระคุณมารดา จนกระทั่งบรรลุธรรมชั้นโสดาบัน ครั้นวันขึ้น 15 เดือน 11 ซึ่งเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษา พระองค์ก็เสด็จลงสู่เมืองมนุษย์ ทรงประทับยืนบนยอดเขาสิเนรุราชทำ โลกนิวรณ์ ปาฏิหาริย์ ทำให้สวรรค์ มนุษย์และนรก ต่างมองเห็นกันและกัน เรียกวันนี้ว่า "วันพระเจ้าเปิดโลก" ในบางท้องถิ่นจะมีการทำปราสาทผึ้งร่วมกับการทำเรือไฟในวันนั้น
3.ความเชื่อเกี่ยวกับการขอขมาและรำลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา นอกจากนั้นยังมีความเชื่อในการทำเรือไฟที่แตกต่างออกไปอีก แต่กล่าวโดยรวมแล้วพิธีไหลเรือไฟนี้มักผูกพันและเกี่ยวข้องกับไฟแทบทั้งสิ้น รวมทั้งประเพณีอื่นๆเช่น งานแห่เทียนเข้าพรรษา งานบุญบั้งไฟ การจุดไต้ประทีป สิ่งเหล่านี้อาจจะสอดคล้องกับความเชื่อของคนอีสานที่มีความเชื่อว่า
"ไฟจะช่วยเผาผลาญ มลายความชั่วร้ายและขจัดปัดเป่าความทุกข์ยาก ความทุกข์เข็ญให้หนีพ้นไป"
เฮือไฟ แต่เก่าแต่ก่อน
การประกอบพิธีไหลเรือไฟ ชาวอีสานส่วนใหญ่จะจัดทำขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 รวมทั้งที่จังหวัดนครพนมด้วย ซึ่งเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษา บางจังหวัดอาจจัดในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พิธีการดั้งเดิมนั้น (ชุมชนเล็กๆยังมีการปฏิบัติกันอยู่) พอใกล้จะถึงวันออกพรรษา ภิกษุสามเณรของแต่ละคุ้มวัดจะบอกกล่าวชาวบ้านชวนกันมาจัดเตรียมทำเรือไฟล่วงหน้าก่อน 2-3 วัน โดยจัดหาต้นกล้วยและลำไม้ไผ่ที่หาง่ายๆในหมู่บ้านมาจัดทำเป็นโครงเรือไฟง่ายๆ พอที่จะให้ลอยน้ำได้ แผงที่วางสิ่งของอาจทำด้วยการสานไม้ไผ่ส่วนที่ยกสูงขึ้นจากส่วนที่เป็นแพเล็กๆ ความยาวของแพประมาณ 4 - 5 วา เวลาเพลก็มีการถวายภัตตาหารเพล และเลี้ยงบรรดาแรงงานชาวบ้านที่มาช่วยทำเรือไฟจนกระทั่งเรือไฟแล้วเสร็จ ในวันนั้นมีการเล่นต่างๆ เพื่อความสนุกสนานในช่วงบ่าย พอค่ำสนธยาชาวบ้านจะทำขนมหรือสิ่งของที่ต้องการบริจาคทานใส่ลงไปในเรือ เวลาค่ำก็จุดไฟให้สว่าง โดยที่เชื้อไฟได้แก่ขี้ไต้ (ขี้กระบอง-ภาษาอีสาน) โรยรอบเรือในกาบกล้วยที่แกะมาวางไว้ในเรือ หรือบางแห่งใช้ขี้ไต้ที่เป็นมัดผูกติดกับโครงเรือแล้วจุดรายรอบลำเรือ จากนั้นก็ผลักเรือให้ออกไปกลางน้ำล่องลอยไปเรื่อยๆแล้วแต่จะไปลอยติดฝั่งตรงไหน ซึ่งหากมีผู้พบเห็นก็จะสามารถเก็บสิ่งขอที่พอจะใช้ได้นำไปใช้ต่อไป
การไหลเรือไฟที่จังหวัดนครพนม มีการฟื้นฟูเพื่อจัดทำเป็นประเพณีในอีกรูปลักษณะหนึ่งตามกระแสของการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อให้ถือเป็นงานระดับประเทศ เป็นการพัฒนางานประเพณีให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน เน้นรูปแบบเรือไฟเพื่อการนำเสนอที่สวยงาม ทว่าก็ยังสืบทอดวิธีการดั้งเดิมไว้โดยมีการจัดทำเรือไฟแบบเก่าเป็นต้นแบบกระทำพิธีไหลก่อนที่จะตามมาด้วยเรือไฟที่เน้นความสวยงามของรูปร่างและรูปแบบดวงไฟ เริ่มจากปี 2533 เป็นต้นมา จังหวัดนครพนมได้ขอพระราชทานไฟพระฤกษ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัญเชิญมาจุดเรือไฟแบบดั้งเดิม และจุดต่อไปยังเรือไฟลำอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลของการจัดงานประเพณีของจังหวัด ซึ่งได้มีการปฏิบัติสืบต่อมาเป็นประจำทุกปี
เรือไฟของจังหวัดนครพนม ใช่ว่าจะมีแต่ความโอ่อ่า งดงามตระการตาเพียงเท่านั้น แต่คุณค่าและสิ่งที่แฝงปรัชญาทางศาสนาคือสิ่งที่ได้รับจาก "ประเพณีไหลเรือไฟ" ความเชื่อจากอานิสงส์ที่ได้รับร่วมทำบุญ จิตใจที่ทำให้ใสสะอาดจากการฟังเทศน์ และสุดท้ายอุบายที่มีอยู่ในประเพณีคือ กฏอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา